1. การผ่าตัด (Surgery)
เป็นการรักษาหลักของการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม โดยก่อนอื่นต้องทราบความรู้พื้นฐานก่อนว่า เมื่อมีก้อนมะเร็งเต้านมเกิดขึ้น อวัยวะแรกที่เซลส์มะเร็งเต้านมจะกระจายลุกลามไปถึงคือ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ดังนั้นการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านมจึงต้องผ่าตัดทั้งบริเวณเต้านมและเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกไปด้วย ในปัจจุบันการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านมวิธีมาตรฐาน ได้แก่ การผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกทั้งหมด เรียกการผ่าตัดนี้ว่า Modified Radical Mastectomy หรือย่อว่า MRM ซึ่งผลการรักษาดีเทียบเท่ากับวิธีการผ่าตัดรักษาในอดีตแต่ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดน้อยกว่ามาก (สมัยก่อนนอกจากจะผ่าตัดเอาเนื้อเต้านมออกไปทั้งเต้าแล้ว ยังตัดเอากล้ามเนื้อผนังหน้าอกออกไปทั้งหมดอีกด้วย) แต่จากการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดพบว่าการผ่าตัดรักษาโดยการตัดเฉพาะก้อนมะเร็งออกโดยมีเนื้อเต้านมดีหุ้มก้อนมะเร็งออกไปนั้น ขณะที่ไม่จำเป็นต้องตัดเต้านมออกทั้งเต้า แต่ไปทำการฉายแสงบริเวณเต้านมที่เหลือแทน พบว่าผลของการรักษาในด้านการกลับเป็นซ้ำของโรคและการมีอายุยืนยาวของผู้ป่วยมากกว่า 5 ปีขึ้นไปไม่แตกต่างกันกับวิธีผ่าตัดรักษามาตรฐานเดิมคือ MRM เรียกวิธีการผ่าตัดนี้ว่า การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (Breast Conserving Surgery) แต่ใช่ว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมทุกคนจะรักษาด้วยการผ่าตัดนี้ได้ เนื่องจากการผ่าตัดแบบสงวนเต้านมนี้ไม่สามารถทำได้ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถฉายรังสีที่เต้านมได้ เช่น เคยได้รับการฉายรังสีที่หน้าอกมาก่อนหน้า หรือตั้งครรภ์อยู่ และกลุ่มผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งเต้านมกระจายอยู่ทั่วทั้งเต้านมจนไม่สามารถผ่าตัดให้มีเนื้อดีหุ้มก้อนมะเร็งโดยรอบได้ จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า หลังผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้าเพื่อรักษาโรคมะเร็ง นอกจากสุขภาพกายที่เสียไปแล้ว สุขภาพจิตที่รูปลักษณ์ภายนอกคือการไม่มีเต้านมก็เสียตามไปด้วย จึงเป็นผลให้มีวิทยาการทางด้านการผ่าตัดตกแต่งและเสริมสร้างเต้านมมาช่วยทำให้ผู้ป่วยมีเต้านมขึ้นใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของเดิม โดยวิธีการผ่าตัดตกแต่งและเสริมสร้างเต้านมใหม่ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยรายนั้นๆ ก็จะแตกต่างกันออกไป วิธีการผ่าตัดมีตั้งแต่การใช้ไขมัน กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อของร่างกายผู้ป่วยเอง ได้แก่ จากหน้าท้อง (Transverse rectus abdominis myocutaneous or TRAM flap) และจากแผ่นหลัง (Latissimus dorsi or LD flap) และการใช้เต้านมเทียมหรือการเสริมซิลิโคน (Silicone breast implant) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนคนปกติที่ยังมีเต้านมอยู่ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่สูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตในสังคมต่อไปหลังการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านมแล้ว
ส่วนการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ จากเดิมที่ทำการเลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด พบว่ามีผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เช่น ยกแขนได้ไม่สุดหรือยกไม่ขึ้น ชาบริเวณรักแร้และต้นแขน แขนบวมหรือมีแผลเรื้อรังที่แขน เป็นต้น ข้อมูลทางการแพทย์ล่าสุดพบว่าในต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ทั้งหมดจะมีกลุ่มต่อมน้ำเหลืองกลุ่มแรกที่เซลส์มะเร็งเต้านมจะกระจายลุกลามมาถึงก่อน ต่อมน้ำเหลืองกลุ่มนี้เรียกว่า ต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล ซึ่งสามารถใช้สารสีพิเศษฉีดที่เต้านมเพื่อจำลองการกระจายของเซลส์มะเร็งแล้วผ่าตัดเลาะเอาเฉพาะต่อมน้ำเหลืองที่ติดสารสีพิเศษนั้น (Sentinel lymph node biopsy) ซึ่งก็คือกลุ่มต่อมน้ำเหลืองเซนติเนลไปให้พยาธิแพทย์ตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อเร่งด่วนด้วยวิธีแช่แข็ง (Frozen section) ว่ามีเซลส์มะเร็งลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้วหรือไม่ ถ้าพบว่าผลตรวจเป็นลบ แปลว่า ไม่มีการกระจายของเซลส์มะเร็งไปถึงต่อมน้ำเหลือง ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด ทำให้ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดหลังการผ่าตัดลดน้อยลง แต่ถ้าพบว่าผลตรวจเป็นบวก ซึ่งแปลว่า มีเซลส์มะเร็งลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองกลุ่มแรกแล้ว ก็จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออกทั้งหมดเพื่อรักษาและประเมินระยะของมะเร็งเต้านมต่อไป
2. การรักษาหลังการผ่าตัด (Adjuvant therapy)
เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมโดยกำจัดเซลส์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่บริเวณเต้านมและทั่วร่างกาย ซึ่งจะให้การรักษาแต่ละชนิดเมื่อมีข้อบ่งชี้ในการรักษาเท่านั้น การรักษาที่ว่าประกอบด้วย
- เคมีบำบัดหรือคีโม (Chemotherapy) พิจารณาให้ถ้าขนาดของก้อนมะเร็งใหญ่กว่า 1 เซนติเมตรและ/หรือมีการกระจายของมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว ปกติการให้เคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะมีสูตรยาเคมีหลายสูตร มีทั้งแบบใช้ยาตัวเดียวหรือยาหลายตัวผสมกัน ทั้งแบบยาฉีดหรือยากิน ทั้งแบบให้ยาทุกสัปดาห์และทุก 3-4 สัปดาห์ ใช้เวลาในการให้ยาเคมีครบประมาณ 3-6 เดือน และนอกจากยาเคมีจะไปทำลายเซลส์มะเร็งที่มีการเจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างรวดเร็วในร่างกายแล้ว ยังจะไปทำลายเซลส์ปกติของร่างกายที่มีการเจริญแบ่งตัวด้วย เช่น เซลส์เม็ดเลือด เกล็ดเลือด เนื้อเยื่อในช่องปาก ลำไส้ และเส้นผม เป็นต้น ทำให้มีผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ แผลในปาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย และผมร่วงได้
- การฉายแสง (Radiation) พิจารณาให้ในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร มีการกระจายของมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้จำนวนมากกว่า 4 ต่อมขึ้นไป หรือขอบชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกไปยังมีเซลส์มะเร็งอยู่ การฉายแสงส่วนใหญ่จะทำติดต่อกัน 5 ถึง 6 สัปดาห์ (ปกติจะฉายวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หยุดพักวันเสาร์อาทิตย์) ฉายแสงไปที่บริเวณเต้านม ผนังหน้าอกและบริเวณรักแร้ ใช้เวลาในการฉายแสงแต่ละครั้งใช้เวลาไม่นานประมาณ 10-15 นาที
- ยาต้านฮอร์โมน (Endocrine or Hormonal therapy) เมื่อนำก้อนเนื้อมะเร็งไปย้อมพิเศษเพื่อดูว่ามีตัวรับฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน (Estrogen and Progesterone receptor) แล้วผลออกมาเป็นบวก แสดงว่ามะเร็งเต้านมนั้นมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับยาต้านฮอร์โมน โดยกินยาวันละ 1 เม็ดเป็นระยะเวลา 5 ปี
- ยาตรงเป้า (Targeted therapy) เมื่อนำก้อนเนื้อมะเร็งไปย้อมพิเศษแล้วผลตัวรับเฮอร์ทู (HER-2 receptor) ออกมาเป็นบวก แสดงว่าเป็นมะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์เพิ่มปริมาณของยีนก่อมะเร็งเฮอร์ทูซึ่งมีแนวโน้มที่จะลุกลามอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันสั้น มะเร็งเต้านมสายพันธุ์เฮอร์ทูพบได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ควรได้รับยาต้านเฮอร์ทู (Anti-HER2 therapy) โดยเป็นยาฉีดควบคู่ไปกับยาเคมีบำบัด